ปัจจุบัน แสงแดดเป็นเป็นที่พิสูจน์ได้แน่ชัดแล้วว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง ทั้งมะเร็งผิวหนังชนิด nonmelanoma และmelanoma โดยเฉพาะชาวตะวันตกที่พบการเป็นมะเร็งผิวหนังเพิ่มมากขึ้น
และมีความเสี่ยงมากกว่าคนเอเชียหลายเท่า ดังนั้น วิธีป้องกันมะเร็งผิวหนังที่ดีคือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดเป็นระยะเวลานาน แต่โดยทั่วไปแล้วคนเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถป้องกันได้
คือ การสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด การใช้ร่มหรือที่บังแดด และสุดท้ายที่นิยม คือ การทาครีมกันแดด ซึ่งจะช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนัง บางแบรนด์ใส่ารำรุงช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย ป้องกันการเกิดริ้วรอย
ป้องกันผิวหมองคล้ำ และการเกิดกระฝ้าต่างๆได้ด้วย
ทั้งนี้ ผิวหนังของแต่ละคนมีการตอบสนองต่อแสงแดดที่แตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับสีผิวหรือเมลานินเป็นสำคัญ (melanin pigment)
โดยคนยุโรปที่มีผิวขาวจะมีปริมาณเมลานินที่ชั้นผิวหนังน้อย ทำให้รังสีแพร่เข้าไปในชั้นผิวหนัง และถูกดูดซับไว้มาก จึงเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังได้สูง
ส่วนผิวหนังของคนเอเชียที่ค่อนข้างดำหรือคนผิวดำในแถบประเทศแอฟริกาจะมีเม็ดสีเมลานินสูง ทำให้ช่วยกรองรังสี ช่วยกระจาย และสะท้อนรังสีได้มาก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังน้อยกว่า
ความรู้เกี่ยวกับรังสี
รังสี UVB ในช่วงความยาวคลื่น 290 – 320 นาโนเมตร ถือเป็นรังสีหลักที่เหนี่ยวนำให้เกิด photocarcinogenesis โดยรังสี UVB จะเข้าทำปฏิกิริยากับ DNA ในเซลล์โดยตรง จนทำให้เกิดสาร cyclobutane pyrimidine dimmers และ thymine glygols ที่เข้ากระตุ้นการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ส่วนรังสี UVA ในช่วงความยาวคลื่น 320 – 400 นาโนเมตร จะมีผลต่อผิวหนังน้อยกว่ารังสี UVB แต่ก็มีส่วนในการทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน เพราะหากสัมผัสหรือได้รับสะสมเป็นเวลานานจะทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระขึ้นในเนื้อเยื่อ และต่อมาจะเข้ากระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นได้ ด้วยการเหนี่ยวนำให้มีการเปลี่ยนแปลงของ DNA ในระดับเซลล์เกิดขึ้น
องค์ประกอบของแสงแดด
1. รังสีอินฟาเรด (infrared ray : ความยาวคลื่น 780-5000 นาโนเมตร) ประมาณ 56%
2. รังสีที่มองเห็น (visible light : ความยาวคลื่น 400-780 นาโนเมตร) ประมาณ 39%
3. รังสีอัลตราไวโอเลต (UV : ultraviolet ray) ปริมาณ 5% ซึ่งถือเป็นรังสีสำคัญที่ทำให้สภาพผิวมีปัญหา และเกิดมะเร็งผิวหนัง
ชนิดของรังสี UV
1. รังสี UVC
รังสี UVC มีช่วงคลื่นยาว 100-280 นาโนเมตร เป็นรังสี UV ที่มีพลังงานสูงสุด แต่ส่วนมากจะถูกดูดซับไว้ด้วยโอโซนในชั้นบรรยากาศของโลก
2. รังสี UVB
รังสี UVB มีช่วงคลื่นยาว 280-320 นาโนเมตร เป็นรังสี UV ที่มีพลังงานรองลงมาจาก รังสี UVC มีผลทำให้ผิวหนังเกิดการอาการผื่นแดง เกิดอาการแสบร้อน และไหม้ โดยเฉพาะผู้แพ้แสงแดดง่ายหรือมีการตากแดดเป็นเวลานาน
3. รังสี UVA
รังสี UVA มีช่วงคลื่นยาว 320-400 นาโนเมตร เป็นรังสี UV ที่มีพลังงานต่ำที่สุด เมื่อได้รับรังสีชนิดนี้จะมีผลต่อสภาพปัญหาผิหนัง อาทิ ผิวหนังเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอย เกิดความหมองคล้ำ กระ และฝ้า จนผิวแลดูแก่กว่าวัย