โดยความจริงแล้ว ผิวหนังคนเราจะมีสภาพผิวหลักๆ 3 ประเภท ได้แก่ ผิวธรรมดา ผิวแห้ง และผิวมัน
แต่เมื่อพูดถึงผิวหน้า มักมีรายละเอียดอื่นๆของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน
ซึ่งในบทความนี้จะนำเสนอสภาพผิวต่างๆที่สามารถจำแนกได้ เพื่อให้คุณเข้าใจสภาพผิวของคุณได้มากขึ้นค่ะ
1. ผิวธรรมดา(์Normal skin) กล่าวได้ว่าเป็นสภาพผิวที่ดีที่สุดเนื่องจากเป็นผิวที่มีปัญหาผิวน้อยที่สุด ผิวหนังจะเนียน นุ่ม มีความยืดหยุ่น
สุขภาพดี ฟื้นฟูได้รวดเร็ว ทั้งยังมีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวและความชื้นในระดับที่พอดี ผิวที่มีสุขภาพดีซึ่งจะมีสภาพความเป็นกรดอ่อนๆ
ด้วยค่าpHผิวจะอยู่ประมาณ pH 5.5 ที่บริเวณเกราะคุ้มกันผิวตามธรรมชาติ บริเวณชั้นบนสุดของผิวจะเป็นเสมือนเกราะคุ้มกันผิว
ทำหน้าที่ป้องกันการสูญเสียน้ำ ป้องกันเชื้อโรค และผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีแนวโน้มที่เป็นเปลี่ยนเป็นผิวแห้งได้เมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยน
กลไกการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงผิวเริ่มทำงานช้าลง ผิวจึงค่อยๆแห้งและขาดความชุ่มชื้น อีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
2. ผิวแห้ง (Dry skin) ผิวแห้งเป็นผิวที่เวลาลูบสัมผัสจะรู้สึกแห้งตึงไม่ชุ่มชื้น มักมีปัญหาคัน แดง และลอกเป็นขุย เกิดริ้วรอยได้ง่าย
ผิวประเภทนี้ต้องการความชุ่มชื่นมาก อีกทั้งยังต้องการส่วนผสมของน้ำมันจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เวลาที่ผิวประเภทนี้แห้งตึงมากจะเกิดอาการระคายเคือง
มีความมันน้อยกว่าผิวธรรมดา อันเป็นผลมาจากน้ำมันที่หล่องเลี้ยงผิวไม่เพียงพอ ขาดกรดไขมันที่จำเป็นในการรักษาความชุ่มชื้น
และสร้างเกราะป้องกันผิวจากสิ่งกระทบจากภายนอก ผิวแห้งจะให้ความรู้สึกแน่น หยาบกร้านและดูหมองคล้ำ
3. ผิวมัน (Oily skin) คนไทยและคนเอเชียส่วนใหญ่จะเป็นกัน ซึ่งบางคนจะมีผิวที่ค่อนข้างหยาบ ดูหนา มันวาว รูขุมขนใหญ่ เป็นสิวง่าย
และมักจะเป็นสิวหัวดำ เนื่องจากผิวผลิตน้ำมันมากจนเกินไปทำให้ไขมันไปอุดตันรูขุมขน ข้อดีของการมีผิวมันก็คือ ผิวหน้าเหี่ยวย่นช้ากว่าชนิดอื่นๆ
ความเข้าใจที่ผิดสำหรับคนผิวมัน คือ การพยายามใช้สบู่หรือครีมล้างหน้าที่แรงๆ เพื่อที่จะควบคุมน้ำมันส่วนเกินบนผิวหนัง
แต่รู้หรือไม่ว่าการทำเช่นนี้แทนที่จะเป็นการกำจัดน้ำมันส่วนเกิน กลับเป็นการกระตุ้นผิวหนังให้ผลิตน้ำมันออกมามากยิ่งขึ้น ทำให้เป็นสิวอักเสบและเกิดการระคายเคืองผิวตามมา
ซึ่งปัจจัยที่สามารถทำให้ผิวมันได้มีหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และความไม่สมดุลของฮอร์โมน ผลข้างเคียงจากยา ความเครียด การใช้เครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการอุดตันระคายเคือง
4. ผิวผสม (Combination Skin) ก็เป็นอีกสภาพผิวที่คนส่วนมากเป็นกัน สังเกตได้ง่ายนั่นคือ
ผิวบริเวณ T zone (บริเวณหน้าผาก จมูกและคาง) เป็นผิวมัน มีรูขุมขนกว้าง มีสิวอุดตันหรือสิวหัวดำขึ้นและมีผิวแห้งที่บริเวณแก้มนั่นเอง เนื่องจากสมดุลไขมันบนผิวผิดปกติ
คือส่วนที่ผิวมันเกิดจากผลิตน้ำมันที่มากเกินไป ส่วนบริเวณที่ผิวแห้งเกิดจากการขาดน้ำมัน
5. ผิวบอบบาง แพ้ง่าย (Sensitive skin) ผิวแพ้ง่ายและอาการระคายเคืองเกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุและเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุ
เพราะเกิดจากเกราะปกป้องผิวอ่อนแอ ทำให้ผิวเกิดอาการระคายเคืองได้ง่ายเพราะต้องโดนปัจจัยภายนอก
เช่น ฝุ่น สารเคมี แบคทีเรีย การใช้ครีมและเครื่องสำอางที่แรงเกินไป เข้ามาทำให้เกิดอาการอักเสบแพ้และระคายเคือง
ซึ่งผิวลักษณะนี้จะเกิดอาการแพ้ได้ง่ายและรุนแรงกว่าผิวลักษณะอื่น ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “ผิวแพ้ง่าย”
ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติหรือเป็นโรคทางผิวหนังแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าจะไม่มีวิธีการแก้หรือรักษาผิวแพ้ง่ายแบบตายตัว
แต่โชคดีที่เรายังมีวิธีที่ควบคุมและจัดการกับอาการผิวแพ้ง่ายได้ ถ้าหากเข้าใจสาเหตุของปัญหาว่าเกิดขึ้นจากอะไร
อะไรเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ ก็จะช่วยให้เราสามารถควบคุมอาการผิวแพ้ง่ายได้ดียิ่งขึ้น
.
.
.
ไม่จำเป็นว่า คนผิวธรรมดาจะไม่เสี่ยงต่อการแพ้ง่ายบางคนก็อาจเกิดอาการแพ้ได้
และคนผิวแห้ง อาจเปลี่ยนเป็นผิวมันได้เช่นกัน ทั้งนี้อยู่ที่การเลือกบริโภคอาหาร การใช้ชีวิต และการดูแลผิวที่ตรงกับสภาพผิวเราค่ะ